ด้วยความคิดถึงจึงบินมาหา

ตอนสอง ทะเลหมอกเมืองเบตง จ.ยะลา

(3 คืน 4 วัน ในเมืองนราธิวาส ยะลา ปัตตานี)

ตามหาม่านหมอก

หยิกหยอกความฝัน

โอบกอดดาวจันทร์

ตามตะวันไปเบตง.

จากตัวเมืองยะลาไปเบตง ถนนคดโค้งไปตามขุนเขา ประมาณ 60 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึงเบตงเป็นช่วงที่โค้งมากที่สุด หากเดินทางด้วยรถตู้ (บางคันเหวี่ยง) อาจทำให้เมารถได้ง่าย โปรดเตรียมยามาให้พร้อม
สะพานข้ามทะเลสาบบางลางเป็นสะพานที่แบ่งเขต อ.ธารโต กับ อ.เบตง จ.ยะลา นักท่องเที่ยวนิยมมาจอดรถถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันตรงนี้
ทัศนียภาพทะเลสาบบางลาง
คาเฟ่ในสวยสวย “ร้านหวายร้อยลี้&สุวรรณรส”

จากยะลาสู่ อ.เบตง เส้นทางจากยะลามาเบตงนั้นเหยียดยาวกว่า 100 กิโลเมตร ถนนคดโค้งหมายเลข 410 พาเราผ่านขุนเขาและผืนป่า กว่าจะถึงเวลาล่วงเลยมาถึง 13.30 น. เป็นอันว่าอาหารที่ซัดกันมาเมื่อเช้าย่อยสลายหมดแล้ว ถึงเวลาต้องหาอะไรอร่อยๆ กินกันอีกครั้ง ร้านที่เลือกคือ “ร้านหวายร้อยลี้&สุวรรณรสคาเฟ่” หวายร้อยลี้เป็นร้านเรียบง่ายไม่มีดีไซน์อะไรมากมาย เน้นอาหารถิ่น รสชาติเข้มข้นแบบกลางๆ ส่วนคาเฟ่ซุกซ่อนอยู่ด้านหลัง “สุวรรณรส” เน้นเครื่องดื่มและเบเกอรี่ บริเวณคาเฟ่มีสวยสวนโอบกอด สถาปัตยกรรมคล้ายบ้านชาวประมงโบราณที่นิยมนำมาเป็นรีสอร์ต สถาปัตยกรรมแบบนี้เป็นที่นิยมในอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์ ส่วนเมนูน้ำปั่นที่อยากให้ลองคือ “ทุเรียนน้ำ…ปั่น” ทุเรียนน้ำเป็นผลไม้ที่คล้ายน้อยหน่ามากกว่าทุเรียน กลิ่นและรสชาติก็ด้วย เมนูนี้ชาวแก๊งค์ของเราบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ดีฮะ”

“ใต้สุดสยาม” คำสั้นๆ บนป้ายหินอ่อนที่คนนิยมมาถ่ายภาพกันมากที่สุดจุดหนึ่งของเบตง
หลักเขตสุดท้ายชายแดนไทย-มาเลเซีย

อ.เบตง จ.ยะลา

สิ้นสุดการอ้อยอิ่งเราทิ้งคาเฟ่ไว้เบื้องหลัง ออกเดินทางไปที่ด่านศุลกากรชายแดนไทย-มาเลเซีย ทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยวด้วยการถ่ายภาพกับป้ายใต้สุดสยามเป็นที่ระลึก แต่ไม่ได้แวะไปดิวตี้ฟรีเพราะตั้งใจไปถ่ายภาพเจดีย์สุดสวยภายในวัดพุทธาธิวาส พระอารามหลวงชั้นตรี ประจำเมืองเบตง

เจดีย์ทรงศรีวิชัยสีทองประดิษฐานบนยอดเขาภายในวัดพุทธาธิวาส เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สูง 39.9 เมตร สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ในวโรกาสพระชนมายุครบ 60 พรรษา

“วัดพุทธาธิวาส” เป็นวัดที่ประดิษฐานองค์เจดีย์แบบศรีวิชัยบนขุนเขา ส่วนศาสนสถานอื่นๆ ลดหลั่นลงมาถึงถนนด้านล่าง ไล่เรียงจากองค์เจดีย์ อุโบสถ วิหาร และพระพุทธรรมกายมงคลปยุรเกศานนท์สุพพิธาน การไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิในวัดพุทธาธิวาสสามารถเดินจากด้านล่างขึ้นไปสู่ด้านบน หรือจากด้านบนลงมาด้านล่างได้โดยสะดวก จุดสูงสุดด้านหน้าองค์เจดีย์มองเห็นทิวทัศน์เมืองเบตงได้กว้างไกล

พระพุทธรรมกายมงคลปยุรเกศานนท์สุพพิธาน จากข้อมูลแจ้งว่าเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (อ้างอิง ททท.สำนักงานนราธิวาส)

จากวัดสู่งานสตรีทอาร์ตที่ซุกซ่อนตามถนนสายเล็กกลางเมือง (ใกล้หอนาฬิกา) ปัจจุบันมีสตรีทอาร์ตทั้งงานใหม่และเก่า ตัวงานซ่อนอยู่ตามกำแพงหรือผนังบ้านเรือนในหลายซอกซอย แต่เชื่อมถึงกันหมด เป็นงานศิลปะริมถนนที่มากฝีมือ งดงามน่าสัมผัส น่าบันทึกภาพ บางมุมนึกว่าอยู่เกาหลี เดินถ่ายภาพกันเพลินเลยครับ

สตรีทอาร์ต

ช่วงสุดท้ายของวันมุ่งมั่นมาถ่ายภาพกันที่หอนาฬิกากลางเมือง จุดนี้ถือเป็นจุดศูนย์กลางของเบตง นอกจากหอนาฬิกายังมี “อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์” อุโมงค์รถยนต์ที่สามารถเดินถ่ายภาพได้ รวมถึง “ตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดของไทย” ใครไปใครมาแวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันทั้งนั้น แต่ต้องเตือนกันนิดหนึ่ง “ระวังขี้นกกันหน่อยนะ” เหตุเพราะสายไฟแถบนี้เป็นที่พักพิงของนกนางแอ่นจำนวนหลายร้อนพันตัวครับ

หอนาฬิกากลางเมืองเบตง ยามสนธยามีไฟประดับโดดเด่นสวยงามมาก
ตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งเคียงข้างหอนาฬิกากลางเมืองเบตง

อยากบอกว่านอกจากการเดินเที่ยวเมืองเบตงชมโน่นนี่นั่นอย่างที่เล่าไปนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่คนไทยและคนมาเลเซียไม่พลาดโดยเด็ดขาดคือไปกินอาหาร “ร้านต้าเหยิน” ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ เน้นอาหารจีน รสดีแบบมีความเป็นมาตรฐาน รสชาติคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อาหารขึ้นชื่อมี ไก่เบตง เคาหยก กบภูเขาทอด ผักน้ำผัดน้ำมันหอย สุดยอดทุกเมนูครับ

เคาหยก หมูสามชั้นปรุงรสด้วยเครื่องยาจีน เสิร์พพร้อมเผือกทอด อีกหนึ่งสุดยอดเมนูที่ไม่อยากให้พลาด
ไก่เบตงนึ่งซีอิ้ว สุดยอดเมนู ไปเบตงต้องโดนอย่างน้อยหนึ่งมื้อครับ

หนังบางกรอบ เนื้อแน่น ไร้มัน

ตีห้าฟ้ายังไม่สาง รถตู้คันเดิมออกเดินทางผ่านอากาศเย็นมาบนเส้นทางคดโค้งสายเดิม จากทางหลวงสายหลัก แยกมาตามสทางสายเล็ก ฟ้าเริ่มสว่างตอนที่เรามาถึงจุดจอดรถหรือจุดเปลี่ยนรถ ถึงตรงนี้ต้องเปลี่ยนเป็นรถสองแถวเพราะด้านบนตรงสกายวอร์คนั้นไม่มีที่จอดรถ ก็เลยปรับให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการบริการ มีให้เลือกทั้งรถสองแถวและมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อุโมงค์ให้รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของไทย สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาวตลอดอุโมงค์ 273 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 7 เมตร มีทางเท้าสำหรับเดินทั้งสองด้าน กว้างด้านละ 1 เมตร

เช้าตรู่ แสงตะวันอยู่หลังม่านหมอก นักท่องเที่ยวมาที่นี่เพื่อสัมผัสทะเลหมอกในทิวทัศน์กว้างไกลเกือบ 360 องศา ภาพที่เห็นงดงามราวหลับฝันอยู่ในสรวงสวรรค์ ที่น่าแปลกใจคือวันนี้เป็นวันธรรมดาแต่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและมาเลเซียจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่ บางกลุ่มอยู่บนหอสูงสกายวอร์ค บางกลุ่มอยู่บนจุดชมวิวจุดเดิม แต่ไม่ว่าจะอยู่ในจุดไหนทะเลหมอกอัยเยอร์เวงก็งดงามเสมอเหมือน งามไม่ต่างกันแม้แต่น้อย แต่ที่พลาดไม่ได้ต้องออกไปเดินและยืนบนสะพานชั้น 3 สะพานนี้ยื่นออกไปในอากาศ พื้นกระจกใสทำให้เกิดความหวาดหวั่น ใครบางคนถึงกับขาสั่นไม่กล้าเดิน ท้ายทาย สนุกครับ

สกายวอร์คอัยเยอร์เวงเป็นหอกรุกระจกใส สูง 6 ชั้น มีลิฟท์และบันได บริเวณชั้น 3 ถือเป็นจุดไฮไลท์ เป็นระเบียงหรือทางเดินยื่นออกไปในอากาศ พื้นปูด้วยกระจกใส คนกลัวความสูงมีเสียวครับ
ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง
สกายเวอร์คอัยเยอร์เวง มุมนี้ถ่ายจากจุดชมวิวจุดเดิม
ความสุขที่จับต้องได้ ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง
ร่ำลาเบตงบนสะพานข้ามทะเลสาบบางลาง

เราอยู่กันตรงนี้กระทั่งสายจึงยอมจากไปด้วยความอิ่มเอม ทิ้งทะเลหมอกไว้ในความทรงจำ ออกเดินทางมาบนถนนสายคดโค้งสายเดิม มุ่งหน้าสู่เมืองในด้ามขวานอีกเมืองหนึ่งนั่นคือปัตตานี เมืองดีที่มากไปด้วยแหล่งท่องเที่ยว เดี๋ยวมาเล่าสู่กันฟังในตอนหน้า ขอบคุณและขอบใจที่ติดตามมาโดยตลอด ขอบคุณมากครับ

(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในคำบรรยายภาพ)

#khobjaithailand

#เบตงยิ่งกว่าOK

#ยะลาไม่มาไม่รู้

#หรอยแรงแหล่งใต้

#โมเมนต์ที่ใช่สร้างได้ไม่ต้องรอ

#AmazingThailand

#ด้วยความคิดถึงจึงบินมาหา

หมายเหตุ.

– ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ททท.สำนักงานนราธิวาส โทร. 073 542 345-6

ขอบคุณ

– การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

– เพื่อนผู้ร่วมเดินทางทุกคน

You may also like...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น