3 คืน 3 วัน หลับฝันในโลกใบเก่า(วันที่2)

ชัยนาท อยุธยา ปทุมธานี

ตอนสอง วันที่สอง อยุธยา

เป็นที่ทราบกันดีว่าอยุธยาเป็นเมืองที่ถูกยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ภายในเมืองเก่าอยุธยาประกอบไปด้วยซากวัดวัง มีทั้งที่สมบูรณ์และหลงเหลือเพียงร่องรอยอันน้อยนิด ส่วนใหญ่วัดวาอารามที่นักท่องเที่ยวมาเยือนต้องมีชื่อวัดไชยวัฒนาราม วัดมงคลบพิตร วัดหน้าพระเมรุ วัดใหญ่ชัยมงคล แต่วันนี้พวกเราเลือกไปเยี่ยมเยือนและศึกษาวัดเล็กๆ ที่มีทั้งความสมบูรณ์พร้อมและหลงเหลือเพียงเศษซากทรงคุณค่า เริ่มจาก “ป้อมเพชร” ริม “แม่น้ำป่าสัก” สบ “แม่น้ำเจ้าพระยา” ต่อด้วย “สะพานเทพหมี” แล้วก็สองวัดภายในมหาวิทยาลัยราชฏัชพระนครศรีอยุธยา นั่นคือ “วัดบรมพุทธาราม” และ “วัดสิงหาราม” แวะกินข้าวเที่ยงแล้วลุยต่อที่ “วัดส้ม” ซึ่งเป็นวัดร้างหลงเหลือเพียงซากฐานวิหารกับเจดีย์อันงดงาม สุดท้ายกับ “วัดเชิงท่า” ที่คงคุณค่าด้วยงานจิตรกรรมฝาผนัง ลุยกันขนาดนี้ก็เหนื่อยกันหน่อย เลยขอไปนั่งชิลๆ จิบน้ำปั่น ดื่มกาแฟ กินไอติมที่ “ร้านบุษบา” พอมีเรี่ยวแรงจึงออกเดินทางไปดูโขนกันที่เกาะเกิด เป็นอันจบสิ้นวันกันที่นี่ สำหรับโบราณสถานที่ได้ไปเยี่ยมชมล้วนสูงค่าน่าไปสัมผัสทั้งสิ้น นับเป็นบุญที่ได้มาชมครับ

ขณะท่องเที่ยวเมืองเก่าเราพบว่าอยุธยาเป็นเมืองที่น่าอัศจรรย์ แปลนเมืองเป็นเกาะ มีเมืองชั้นในชั้นนอก ในอดีตการคมนาคมเชื่อมโยงด้วยคลองหลายสาย มีสะพานอิฐพาดเชื่อม เป็นสะพานที่แข็งแกร่งงดงาม ผ่านร้อนหนาวมาตั้งแต่ยุคเก่า แม้วันนี้ไม่ได้ถูกใช้หรือให้ความสำคัญเหมือนก่อน แต่ต้องบอกว่าเป็นสะพานสุดเท่ที่น่าไปเยือนเป็นอย่างยิ่ง

ไปครับ ลองไปดูภาพสถานที่ต่างๆ ดังที่กล่าวมา ไปดูว่าทั้งหมดนั้นสำคัญและสวยงามอย่างไร (อ่านรายละเอียดในคำบรรยายภาพครับ)

ป้อมเพชร เป็นป้อมขนาดใหญ่ ก่อสร้างด้วยอิฐและศิลาแลง มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก มีประตูโค้งครึ่งวงกลม ตัวป้อมยื่นออกจากแนวกำแพงเมือง สามารถเข้าไปเที่ยวชมได้ทุกวัน
มองลอดช่องกำแพงป้อมเพชรออกไปจะพบเรือจำนวนมากแล่นผ่านไปมา ส่วนใหญ่เป็นเรือบรรทุกทราย เรือท่องเที่ยว และมองเห็นวัดบางกะจะประดิษฐานอยู่ทางขวา (วัดพนัญเชิงอยู่ทางด้านซ้าย ในภาพมองไม่เห็น)
หากไปเที่ยวอยุธยาลองมาชมป้อมเพชรแล้วจะพบว่าการท่องเที่ยวเชิงศึกษานั้นรื่นรมย์ไม่แพ้การท่องเที่ยวในรูปแบบอื่นๆ (ติดป้อมมีคาเฟ่สุดเก๋อยู่ด้วย) แนะนำให้ค้นข้อมูลบางส่วนล่วงหน้ายิ่งดี เที่ยวยิ่งสนุก แต่ถ้าไม่มีเวลาสามารถอ่านจากป้ายนิเทศน์บริเวณป้อมเพชรได้ เขาย่อความเอาไว้ให้แล้ว
ถ้ามองลอดช่องประตูโค้งป้อมเพชรจากฝั่งแม่น้ำเข้ามาจะพบว่าบริเวณนี้มีสนามหญ้าภายใต้ร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่
ป้อมเพชรมีทางเดินเลียบริมแม่น้ำเจ้าพระยาไปจนสุดตรงจุดบรรจบแม่น้ำป่าสัก เป็นจุดที่มองเห็นทิวทัศน์แม่น้ำกว้างไกล เสียดายวันที่ไปฟ้าหลัวเพราะเป็นช่วงฝน นี่ถ้าไปช่วงฟ้าเปิดคงงดงามกว่านี้มาก

“ป้อมเพชร” เป็นป้อมปราการที่สำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบรรจบกับแม่น้ำป่าสัก เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเพราะเป็นจุดที่มีการค้าขายและยังเป็นป้อมที่มีไว้เพื่อป้องกันข้าศึกในการบุกรุกราน ตอนเข้าไปเดินชมตรงจุดแม่น้ำสองสายพบกันมีเรือขนทราย เรือท่องเที่ยวแล่นผ่านไปมาไม่ขาดสาย ทำให้เกิดจินตนาการไปไกล กระโดดเข้าไปในอดีต พอจินตนาการแล้วก็ร้องว้าว! เพราะเชื่อว่าจุดนี้คงเนืองแน่นไปด้วยเรือและผู้คนหลากชาติหลายภาษา แบบเต็มลำน้ำไปหมด (คิดถึงละครและภาพยนตร์บุพเพสันนิวาสขึ้นมาในทันที)

สะพานวานร หรือสะพานเทพหมีเป็นสะพานอิฐโค้ง ก่อสร้างแบบชาวเปอร์เซีย คือเรียงอิฐไปตามแนวโค้ง เป็นสะพานโค้งแบบมีสามช่อง เป็นสะพานเก่าแก่ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปไม่ค่อยได้สัมผัส
สะพานวานรหรือสะพานเทพหมียังคงแข็งแรงเนื่องจากมีการบูรณะดูแลเป็นอย่างดี สามารถขึ้นไปถ่ายภาพและเดินเล่นได้

“สะพานวานร” หรือ “สะพานเทพหมี” เป็นสะพานโค้งแสนสวย สร้างด้วยอิฐแดง สร้างข้ามคลอง สะพานโค้งแบบนี้ได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากชาวเปอร์เซียที่เข้ามาค้าขายในยุคนั้น อยากบอกว่าเป็นสะพานวานรที่น่าไปบันทึกภาพที่สุดแห่งหนึ่งครับ

“วัดบรมพุทธาราม” (วัดร้าง) เป็นวัดขนาดใหญ่สร้างในสมัยพระเพทราชา ภายในวัดยังหลงเหลือสถาปัตยกรรมอุโบสถและองค์เจดีย์ที่งดงาม ผนังอุโบสถยังอยู่ครบทุกด้าน ยกเว้นหลังคากระเบื้อง เคลือบที่หายไปนานแล้ว

สำหรับมุมชิลๆ ในบรรยากาศร่มรื่นที่อยากให้แวะไปมากที่สุดจุดหนึ่งคือสะพานอิฐข้ามคลองฉะไกรน้อย จุดนี้อาจถูกมองข้ามจากนักท่องเที่ยวทั่วไป แต่เชื่อเหอะสะพานอิฐภายใต้ร่มเงาของต้นไทรขนาดใหญ่นั้นน่านั่งพักผ่อนและถ่ายภาพเป็นที่สุดครับ

ภายในโถงอุโบสถวัดสิงหาราม หลงเหลือร่องรอยน้อยเต็มที ผนังด้านหน้าและหลังชำรุดทรุดโทรมพังลงบางส่วน
เจดีย์สามองค์ประดิษฐานเรียงรายอยู่บนฐานอิฐของอุโบสถวัดสิงหาราม
นี่คือสะพานโค้งอีกแห่งหนึ่ง เป็นสะพานก่อด้วยอิฐสอปูน สร้างข้ามคลองฉะไกรน้อย เชื่อมพื้นที่ระหว่างวัดบรมพุทธารามกับวัดสิงหาราม

(งามขนาดนี้ต้องมาถ่ายภาพกันแล้วครับ)
คลองฉะไกรน้อย คลองโบราณที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี วันนี้ยังมีให้เห็น ไม่ได้ถูกถมเหมือนคลองสายอื่น

“วัดสิงหาราม” (วัดร้าง) อยู่ตรงข้ามกับวัดพุทธารามเป็นวัดที่หลงเหลือเพียงบางส่วนของอุโบสถรวมถึงบางส่วนของเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ เป็นวัดที่ต่อเนื่องจากวัดพุทธารามด้วยมีสะพานข้ามคลองฉะไกรน้อยทอดเชื่อม

เจดีย์หรือปรางค์องค์นี้ประดิษฐานภายในบริเวณวัดบรมพุทธาราม วัดนี้ชาวบ้านแต่เดิมเรียก “วัดกระเบื้องเคลือบ” เนื่องจากโปรดเกล้าให้หมื่นจันทราช่างเคลือบทำกระเบื้องเคลือบสีเหลืองมุงหลังคาอุโบสถ วิหาร และศาลาการเปรียญ
อุโบสถวัดบรมพุทธารามเป็นอุโบสถที่สง่างาม แข็งแรง แม้ผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปี แต่ยังคงสภาพทางสถาปัตยกรรมได้ดี กำแพงอุโบสถชำรุดเสียหายบ้างตามกาลแต่มีการบำรุงรักษา จึงพบว่ากำแพงทั้งสี่ด้านยังคงสภาพเดิมไม่พังทลายลงเหมือนวัดอื่นๆ
อุโบสถวัดบรมพุทธารามเป็นอุโบสถขนาดใหญ่ มีมุขยื่นออกมาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซุ้มเหนือประตูเป็นซุ้มยอดปราสาท
สภาพโถงกว้างภายในอุโบสถวัดบรมพุทธาราม
พระประธานภายในอุโบสถวัดบรมพุทธาราม

(วัดบรมพุทธาราม วัดสิงหาราม และสะพาน อยู่บริเวณใกล้ๆ กัน ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา)

องค์เจดีย์หรือปรางค์วัดส้ม ประดิษฐานอยู่บนสนามหญ้าเขียวขจีท่ามกลางซากฐานวิหารเดิม
งานพุทธศิลป์อันงดงามของปรางค์วัดส้ม
งานศิลปะแบบขอมที่ปรากฏในงานยุคอยุธยาได้รับอิทธพลโดดเด่นชัดเจนที่สุดบนปรางค์วัดส้ม

“วัดส้ม” (วัดร้าง) ถ้าจะบอกว่างานสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรมพระปรางค์ที่ยังหลงเหลือให้ดูแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยต้องวัดนี้ คือพระปรางค์วัดส้มเป็นศิลปะผสมผสาน ได้รับอิทธิพลมาจากขอมจึงพบว่างานปูนปั้นแบบขอมปรากฏในทุกด้านขององค์เจดีย์หรือพระปรางค์ สมบูรณ์สวยงามมาก สันนิษฐานว่าสร้างตั้งแต่อยุธยาตอนต้น เก่าแก่กว่าปรางค์องค์อื่นๆ

วิหารวัดเชิงท่าหลงเหลือพื้น เสาด้านหน้า บันไดทางขึ้น และพระปรางค์อยู่ด้านหลัง วิหารวัดเชิงท่าเป็นวิหารแบบจตุรมุข มุขหน้าเชื่อมกับวิหาร มีปรางค์บริวารสามด้าน
ปฏิมากรรมพระพุทธรูปสีขาวในวิหารวัดเชิงท่า
ร่องรอยพระพุทธรูปเก่าประดิษฐานบนกำแพงวิหารวัดเชิงท่า
ธรรมาสน์สวดหรือสังเค็ด ศิลปะอยุธยา เลอค่าด้วยความประณีต จัดแสดงในศาลาการเปรียญวัดเชิงท่า
จิตรกรรมฝาผนังในศาลาการเปรียญวัดเชิงท่าแม้จะลบเลือนไปตามกาลแต่ยังหลงเหลือร่องรอยความงามให้ชื่นชม
จิตรกรรมภายในศาลาการเปรียญวัดเชิงท่าภาพนี้มีความสำคัญและทันสมัยมาก โปรดสังเกตนิ้วมือผู้หญิงที่ยกขึ้นมา (ทางด้านซ้ายของภาพ) เป็นสัญลักษณ์ที่เราใช้กันในปัจจุบัน (ยุคอยุธยาเขาใช้กันแล้วครับ) I Love You

“วัดเชิงท่า” เป็นวัดใหญ่ ภายในวัดมีวิหารเก่าแก่แบบจตุรมุข นักโบราณคดีบางคนบอกว่าวางแปลนแบบโบสถ์ฝรั่งคือทำเป็นกากบาทหรือไม้กางเขน นอกจากนี้ยังมีอุโบสถที่ยังคงความงามไว้เต็มเปี่ยม รวมถึงจิตรกรรมฝาผนังในศาลาการเปรียญที่ลางเลือนไปตามยุคสมัยแต่ยังปรากฏร่องรอยให้เห็นอย่างชัดเจนในหลายๆ จุด

ร้านบุษบาออกแบบให้มีความร่วมสมัย นำสถาปัตยกรรมไทยมาประยุกต์ แบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกด้านหน้าเป็นร้านหรืออาคารชั้นเดียว (มีทั้งด้านนอกและด้านใน) ส่วนที่สองเป็นเรือนไทยประยุกต์สีขาวสะอาดตา ส่วนที่สามเป็นพื้นที่ติดคลอง นั่งรับลมสบายๆ ครับ
ถ่ายภาพกันมาทั้งวันขออะไรที่เย็นชื่นชุ่มคอกันหน่อย
นี่คือตัวเลือกที่ดี หายเหนื่อยทันใจ
ส่วนนี่คือตัวเลือกที่อยากให้ลอง ไอศกรีมโรยด้วยสายไหม โว้ว! ผสมผสานได้ลงตัว

จบจากวัดเชิงท่าดูเหมือนเพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันเริ่มเหนื่อยล้าอ่อนแรง ไม่ใช่เพราะบุกตะลุยเที่ยวถ่ายภาพแต่วันนั้นอากาศอบอ้าว ร้อนแบบฝนจะตกก็ไม่ตก ก็เลยต้องมาเติมพลังกันที่ร้านบุษบา ร้านกาแฟที่ดีไซน์ให้ความใหม่อยู่คู่กับเมืองเก่าแบบนวลเนียน ส่วนอาหารขนมนมเนยไม่ได้กินอะไรกันมาก ผมขอแค่ไอติมกะทิโรยด้วยสายไหม แล้วตบด้วยมอคค่าเย็นๆ อีกหนึ่งแก้วก็พอ

การแสดงโขนที่เกาะเกิด เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูเพลิน

ช่วงสุดท้ายของวันเราเดินทางออกนอกเมืองมาที่เกาะเกิด อ.บางปะอิน เพื่อร่วมงาน “มหัศจรรย์งานศิลป์แผ่นดินไทย” มาชมพิพิธภัณฑ์และชมการแสดงโขน แต่อย่างว่าหละครับ พากันเพลินกับงานพุทธศิลป์ในวัดต่างๆ จนได้เวลาโขนเล่น ก็เลยต้องแบ่งกันไปชม ส่วนหนึ่งมุ่งไปที่พิพิธภัณฑ์อีกส่วนหนึ่งชมการแสดงโขน ผมอยู่กลุ่มหลัง ดูโขนจนกระทั่งจบ เป็นอันเสร็จสิ้นการเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงศึกษาในเมืองเก่าอยุธยา

“ช่องกุฏ” หรือประตูทางเข้าเมืองชั้นใน ในอดีตมีจำนวนมาก ปัจจุบันหลงเหลือให้ดูที่วัดรัตนชัย

หนึ่งวันในอยุธยานับว่าคุ้มค่าต่อการเยี่ยมชม ได้พบเห็นสถาปัตยกรรมที่งดงาม เสพงานพุทธศิลป์วิจิตรด้วยสุดยอดฝีมือเชิงช่าง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ควรค่ากับการถูกยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลก อยุธยาอยู่ไม่ไกล ไปง่าย เที่ยวง่าย วันเดียวก็เที่ยวได้ เที่ยวแบบเดี่ยวก็ได้ แบบครอบครัวก็ได้ ใครยังไม่เคยไปอยากให้ลองครับ

ตอนหน้า ไปเยือนวัดและตลาดเก่าที่เมืองสามโคก ปทุมธานี ซึ่งเป็นตอนจบของ “3 คืน 3 วัน หลับฝันในโลกไปเก่า” โปรดติดตาม ขอบคุณครับ

หมายเหตุ

– เจดีย์ที่พบในอยุธยา 1.เจดีย์ทรงย่อมุม 2.เจดีย์ทรงระฆัง 3.เจดีย์ทรงปรางค์

– งานมหัศจรรย์งานศิลป์แผ่นดินไทย เกาะเกิด ยังมีโขนให้ชมช่วงสองวันสุดท้ายคือวันที่ 27-28 สิงหาคม ภายในงานมีการแสดงงานหัตถศิลป์ เช่น ถมทอง จักสานย่านลิเภา สาธิตและจำหน่ายอาหารคาวหวานโดยโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง) เช่น ขนมจ่ามงกุฎ ขนมจีบนก ถั่วแปปโบราณ

อ้างอิง

– หนังสือคู่มือชมศิลปะและสถาปัตยกรรมไทย พระนครศรีอยุธยา โดยระพีพรรณ ใจภักดี

#3คืน3วันหลับฝันในโลกใบเก่าตอนสอง

#khobjaithailand

#วันเดียวเที่ยวได้

ขอบคุณ

– การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

รถตุ๊กตุ๊กหน้ากบ เอกลักษณ์หนึ่งของอยุธยา (เหมาเที่ยวเมืองชมวัดได้นะ)

You may also like...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น