ด้วยความคิดถึงจึงบินมาหา
ตอนจบ รักนะปัตตานี
(3 คืน 4 วัน ในเมืองนราธิวาส ยะลา ปัตตานี)
ฉันคือปีกนกจากโลกใบเล็ก
ฉันคือรอยยิ้มจากเมืองเสรี
ฉันคือปัตตานีที่โอบกอดคุณ

ร่ำไรไม่เลิกรา จากมาด้วยความคิดถึง จากสะพานเหนือเขื่อนบางลาง เขตรอยต่อเบตง-ธารโต เราก้ามข้ามผืนป่าเมืองยะลามาสู่เมืองปัตตานี แวะถ่ายภาพมัสยิดกรือเซะแล้วเข้ามาที่ชุมชนบาราโหม จุดนัดหมายแรกในการทำกิจกรรมซึ่งจะต่อเนื่องไปตลอดทั้งวันจนถึงช่วงเย็น

ที่นี่เราเริ่มจากอุ่นท้องให้อิ่มกับเมนูพื้นบ้าน เช่น แกงเหลืองกะทิ ปลาทู น้ำบูดู ไข่เจียว น้ำพริกกะปิ จากนั้นจึงไปทำผ้าบาติก ด้วยการปั้มเทียนจากบล็อกไม้ ระบายสี ตากแดด ระหว่างที่ผ้ายังไม่แห้ง เราออกเดินทางไปปากอ่าวด้วยรถสามล้อเครื่องหรือมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง จากท่าเรือเราต้องข้ามอ่าวเพื่อไปสัมผัสป่าชายเลนและนกน้ำที่เขาเล่าว่าแปลกกว่าถิ่นอื่น



ชุมชนคนบาราโหมมีงานหัตถกรรมผ้าบาติกที่เน้นการเขียนด้วยสีธรรมชาติ (เขียนด้วยน้ำแกงเหลืองก็ด้วย) ลวดลายที่นำมาเขียนเป็นลวดลายจากถ้วยชามเซารามิกโบราณที่ค้นพบบริเวณริมแม่น้ำ และนี่คือทองคำที่เกิดจากงานหัตถกรรม


เรือหางยาวแล่นฝ่าคลื่น ผ่านแนวกำแพงไม้ไผ่ที่ใช้ป้องกันคลื่นลม ระหว่างนั้นเริ่มพบ “นกกาน้ำ” “นกกระยาง” ยืนเกาะอยู่บนเสาไม้ พอเข้าไปถึงฝั่งป่าชายเลนได้ยินเสียงนกจำนวนมากส่งเสียงดังลั่นสนั่นป่า เพิ่งพบว่านกกาน้ำในป่าแห่งนี้มีจำนวนมาก มากกว่าแหล่งอื่นที่เคยไป เพิ่งพบว่านกกาน้ำฝูงใหญ่ยามเมื่อส่งเสียงสอดประสานกันนั้นมีพลังมากเพียงไร และที่สำคัญเพิ่งพบว่าป่าชายเลนเมืองปัตตานีงดงามไม่แพ้ที่อื่น



ขณะเรือแล่นเข้าไปในป่าชายเลนแน่นหนา พบว่ามีอุโมงค์ต้นไม้ทอดยาวคดโค้งไปมา เป็นอุโมงค์ป่าชายเลนที่งดงามด้วยไม้โกงกางสองฝั่งโน้มตัวโค้งเข้าหากันเหมือนผ่านเข้าไปในฝัน เหมือนฝันขณะลืมตา โดยเฉพาะยามแสงแดดผ่านยอดไม้ลงมากระทบน้ำนั้นงามยิ่งนัก


ออกจากป่าโกงกาง เรือแล่นเลาะเลียบชายป่าไปพักบนจุดชมวิว บริเวณนี้เขาทำเป็นแคร่ไม้ไผ่ขนาดยาวใต้ร่มเงาพันธุ์ไม้น้อยใหญ่ ถ้ามาตอนเย็นจะเห็นฟ้าสนธยากับดวงตะวันลาลับทิวาวัน แต่ไม่เป็นไรมาตอนไหนก็งามเหมือนกัน ส่วนของขวัญที่ได้กลับมาคือภาพฝูงเหยี่ยวแดงกางปีกบินวนอยู่บนฟากฟ้า นับเป็นการท่องเที่ยวด้วยเรือที่เรียบง่ายแต่ได้ใจ ได้อรรถรสเป็นอย่างยิ่ง

จากปากอ่าว คราวนี้มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างพาเราไปพบปราชญ์ชาวบ้าน ปราชญ์ชาวบ้านพาเราไปพบสุสานเจ้าเมือง สุสานเจ้าหญิงแห่งเมืองปัตตานีซึ่งมีอดีตที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เช่น คนไทยมุสลิมไม่มีประเพณีให้ผู้หญิงครองเมือง แต่ด้วยจำเป็นจึงต้องเปลี่ยนธรรมเนียมปฏิบัติ นั่นคือเหตุและผลซึ่งอาจเป็นหนึ่งในกลไกลอันเป็นความหมายของคำว่า “วัฒนธรรม” ที่ตีความง่ายๆ ว่า “วัฒนธรรมคือการสืบทอดและปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย”




ช่วงเย็นของวันเราไปเดินชมอาคารเก่าแก่ในย่านเมืองเก่า อาคารแต่ละหลังทรงคุณค่า เต็มไปด้วยความงามที่ยังคงอยู่ บ้านเกือบทุกหลังยังมีคนอยู่อาศัย ยังมีความเคลื่อนไหว ไม่ได้ปิดตายอย่างไร้ค่า (เอาไว้วันหน้าจะเอามานำเสนออย่างละเอียดกันอีกทีครับ)



สุดท้ายปลายถนนเราแวะเข้าไปศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เจ้าแม่ที่คนไทยเชื้อสายจีนในปัตตานีกราบไหว้ด้วยความเคารพศรัทธา หากใครไม่เคยมาอยากให้มาในช่วง “งานประจำปีเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” ช่วงนั้นมีประเพณีลุยไฟและแบกรูปเคารพเจ้าแม่ข้ามแม่น้ำปัตตานี เป็นประเพณีที่สุดยอดอีกประเพณีหนึ่งครับ


สุดท้ายปลายวันพวกเราไปปักหลักที่ “มัสยิดกลางปัตตานี” ไปชมสถาปัตยกรรมเชิงศาสนาที่งดงาม กล่าวกันว่ารูปแบบมัสยิดที่ปรากฏได้แรงบันดาลใจมาจากทัชมาฮาลของอินเดีย มัสยิดกลางปัตตานีเป็นมัสยิดที่เปิดกว้างให้คนทั่วไปเข้าชมได้ โดยเฉพาะช่วงเย็นมีแสงไฟหลากสีสาดส่องตัวอาคารผสมผสานกับแสงตะวันสุดท้าย เกิดเป็นความเข้มขลังและงดงามในคราวเดียวกัน

สิ้นวัน ยังไม่สิ้นคืน กินข้าวเย็นกันเสร็จสรรพจึงพากันหอบเป้กระเป๋าเข้าที่พักซึ่งเราเลือกพักที่ CS ปัตตานี โรงแรมเก่าแก่ที่คงงานดีไซน์เอาไว้ได้ดีดุจเดิม ที่สำคัญนอกจากมีห้องพักกว้างขวางที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ซ่อนไว้บนชั้นสองของอาคาร เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ย่านลิเภาเก่าเก็บและเครื่องถมทองทรงคุณค่า ใครมาพักลองแจ้งว่าอยากเข้าชมทางโรงแรมยินดีเปิดให้ชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ครับ






รุ่งเช้าวันใหม่ ปัตตานีถูกโอบกอดด้วยม่านหมอกบางๆ จากโรงแรมเรามุ่งสู่วัดช้างไห้ใน อ.โคกโพธิ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 40 กิโลเมตร คงไม่ต้องบอกว่ามาทำไม หากเป็นคนไทยพุทธคงรู้ดีว่า “มาวัดช้างไห้เพราะต้องการมากราบไหว้บูชารูปเคารพหลวงพ่อทวด”


ออกจากวัดช้างไห้ ย้ายมาที่บ้านทรายขาว หมู่บ้านแห่งการท่องเที่ยวที่มีทั้งโฮมสเตย์ สวนผลไม้ น้ำตก วัด และอุทยานแห่งชาติทรายขาว ที่น่าสนใจคือมีบริการนั่งรถจี๊บสมัยสงครามโลกท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ส่วนจุดไฮไลท์คือเข้าไปในอุทยานฯ ขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธมหามุนิลโลกนาถ บริเวณริมหน้าผา ทัศนาทิวทัศน์กว้างไกลสุดตาแล้วลงมาสัมผัสหินพญางู สัมผัสธารน้ำตกสวยใส จากนั้นจึงไปวัดทรายขาว ส่วนจุดสุดท้ายอันเป็นเป้าหมายในยามหิวและเหนื่อยล้าคืออาหารกลางวันอันโอชะจากฝีมือแม่บ้านชุมชนทรายขาว อยากบอกว่าตลอด 3 คืน 4 วัน ที่ผ่านมาผมเขียนเรื่องกินเรื่องอาหารเยอะมาก ชื่นชมก็มาก เหมือนมาเขียนเรื่องเปิบพิสดารยังไงไม่รู้ แต่ที่นี่ไม่ชมไม่ได้เพราะรสชาติอาหารเด็ดจริงไรจริง เพื่อนบางคนไม่ยอมทิ้งช้อน บางคนกอดหม้อข้าวแน่นหนึบ ท้องไม่ป่องไม่ร้องว่าพอครับ












เป็นอันว่าการเดินทางท่องเที่ยว 3 คืน 4 วัน ในเมืองนราธิวาส ยะลา ปัตตานี จบลงที่นี่ จบลงตรงนี้ สิ่งที่ได้รับคือความงดงามจากแหล่งท่องเที่ยว ความโอบอ้อมอารีย์จากชาวบ้านในชุมชน ผมรักรอยยิ้มจากหัวใจของพวกเขา สนุกสนานกับเรื่องเล่าทั้งที่จริงและมาจากตำนานความเชื่อ คงต้องขอบคุณกันไว้ตรงนี้ หากโชคชะตายังมีขอให้ได้กลับมาอีกครั้งครับ
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามอ่านมาโดยตลอด ขอบคุณจากใจ ขอบใจไทยแลนด์ สวัสดีครับ
(อ่านรายละเอียดจากคำบรรยายภาพครับ)
#โมเมนต์ที่ใช่สร้างได้ไม่ต้องรอ
หมายเหตุ
– ชุมชนท่องเที่ยวบาราโหม Barahom Bazaar อ.เมือง จ.ปัตตานี คุณฟารีดา กล้าณรงค์ โทร 093-580-2702
– ชุมชนท่องเที่ยวบ้านทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ลุงชนิน เศียรอินทร์ โทร. 089-737-9553
– สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ททท.สำนักงานนราธิวาส โทร.073 542 345-6
ขอบคุณ
– การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สนับสนุนการเดินทาง
– เพื่อนร่วมทางสนับสนุนความสุขระหว่างวัน
– ชาวบ้านผู้เอื้ออารีย์ทุกชุมชน